คุณค่าทางภาษา
ได้แก่การใช้ถ้อยคำสำนวนโวหารและภาษาให้อารมณ์
มีวิเคราะห์ได้คือ
การใช้ถ้อยคำ
1. สุนทรภู่ใช้คำให้ความหมายชัดเจน
-แต่ย่างย้ายทรายฝุ่นขยุ่นยุบ
ยิ่งเหยียบฟุบขาแข้งให้แข็งขึง
คำว่า ขยุ่มยุบ
ให้ความชัดเจนดีมากว่าเดินเหยียบทรายที่ละเอียดเป็นฝุ่นนั้นมันหยุ่น ๆ เท้า
ก้าวไปได้ช้า และเหนี่อย
-พอฟ้าขาว ดาวเดือน ก็เลื่อนลด ใช้คำง่ายๆ เข้าใจได้ง่าย และตรง ๆ
-กำดัดแดดแผดร้อนทุกขุมขน มีความหมายชัดตรงทุกคำ
และแปลกที่เอาคำว่ากำดัดมาประกอบคำว่าแดด
-บ้างถาบถาพาคู่ฟุบฝุ่น คำชัดเจนมากมาก ถาบ ถา ฟุบฝุ่น
เป็นรูปธรรมที่มองเห็นกิริยาอาการได้ทันทีเมื่ออ่าน
-ดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม - ทำลอบแลหลอนหลอก ตะคอกคน ลอบแล หลอนหลอก ตะคอก
เห็นอาการของลิงได้ดี
-ถึงเขาขวาง ว่างเวิ้ง ชะวากวุ้งเป็นคำที่สุนทรภู่ใช้บ่อยมากกับลักษณะของ
เชิงผา หลืบเขา ถ้ำ ทะเล
-น้ำตาตกอกโอ้อนาถเหนื่อยให้มึนเมื่อยขัดข้องทั้งสองขา
-กลืนกระเดือกเกลือกกล้ำกินน้ำลาย เจียนจะตายเสียด้วยร้อนอ่อนกำลัง
ให่ความรู้สึกคอแห้งกระวนกระวาย
-เมฆแอร่มแย้มแยกแหวกตะวัน เป็นคำให้ภาพดีมาก
ไม่พบว่าใครใช้ว่าเมฆแยกแหวกตะวัน
-เขม้นเมินเดินตรงเข้าดงดึก ดูซึ้งซึกมิได้เห็นสุรีย์ใส คำว่าดงดึก ดีกว่า
ดงลึก เสียงต่ำ กดความรู้สึกให้ลึกลงไป และคำว่าซึ้งซึก
ก็เป็นคำที่ไม่เคยมีใครใช้ขยายป่า แต่พออ่าน ตรงนี้ได้ภาพป่าครึ้มลึก
-กระโดดเผาะเกาะผับกระหยับคืบ ได้จังหวะคำและได้ความชัดเจน
ใครฟังอ่านดูก็รู้ทันทีว่านี่คือหนอนหรือทากแน่นอน
-ให้เหือดหึงลงเสียบ้างจงฟังคำ คำว่าเหือด คือ แห้งหมด คำว่าเหือดหึง
ดีทั้งเสียงพยัญชนะและความหมาย
2. การใช้คำที่เป็นเสียงแสดงความหมาย คำเหล่านี้ถ้าอยู่โดด ๆ
ดูจะเป็นคำที่ไม่มีความหมายหลัก หรือไม่มี ความหมาย ประจำตัว แต่เมื่อสุนทรภู่
นำมาเขียนประกอบเข้ากับความกลับ ทำให้ผู้อ่านได้รับความหมายที่เข้าถึงความคิด
ความรู้สึกได้ดีมาก ลักษณะนี้ดูจะเป็นลักษณะเฉพาะตัวของสุนทรภู่
ที่ไม่พบในกวีท่านอื่นๆ เช่นบทกลอนที่ยกมาดังต่อไปนี้
- ดูเรือแพแต่ละลำล้วนปะโหละ พวกเจ็กจีนกินโต๊ะกัน โหลเหล
- ดูกรวดทรายพรายงามเหมือนเงินราง คำว่ารางที่นี้จะให้ความรู้สึกเงางาม
แวววาว ขาววับวาว ทำนองนั้น วรรคนี้พบในเรื่องพระอภัยมณีอีก
ในตอนที่สินสมุทรออกจากถ้ำ
- ทำซมเซอะเคอะคะมาปะขา ให้ความคิดว่าเซ่อซ่าทำอะไรไม่เข้าท่า
- ดูซึ้งซึกมิได้เห็นสุรีย์ใส ลำพังคำว่าซึกไม่มีความหมายตามตัว มาใช้ประกอบ
ซึงกลับได้ความดี
-กะมอง กะเมงนมแมวเป็นแถวนั้นไป
กะมองกะเมงให้ภาพต้นไม้ขึ้นพันกันไม่รู้ว่าต้นอะไรเป็นต้นอะไร
- เพราะเจ้าของแตงโมปะโลปะเล น่าจะได้ความหมายว่า
สรวลเสเฮฮาด้วย ล้วนอออือเองกูกะหนูกะหนีคำจำพวกกะหนุงกะหนิงใช้เพี้ยนไป
3. ใช้คำเลียนเสียง มีคำยินเลียนเสียงปรากฏใช้อยู่หลายที่
-ถ้วยชามกลิ้งฉิ่งฉ่างเสียงกร่างโกร่ง -
เป็นเหตุการณ์ตอนที่เรือติดโคลน
ต้องช่วยกันถ่อเรือ ข้าวของในเรือกลิ้งไปตามเรือที่เอียงไปเอียงมา
- เหมือนคนกรม โครกครอก ทำกรอกตา
เสียงลิงค่างที่ไต่อยู่คาคบไม้ส่งเสียงเมื่อมันตกใจเพราะมีคนเดินมา
-เสียงลิงค่างบางชะนีวะหวีดโหวย กระหึมโหยห้อยไม้น่าใจหาย
4. ความไพเราะอันเกิดจากถ้อยคำ กวีเป็นนายของภาษาสามารถใช้บันดาล
ให้เกิดอารมณ์สุนทรีย์ได้อย่างแนบเนียนเป็นขุนคลังของถ้อยคำ จึงมีคำหลายรส
หลายอารมณ์ สร้างความไพเราะได้มากมาย ไพเราะด้วยความหมาย ด้วยเสียงสัมผัสสระ , พยัญชนะและไพเราะด้วยน้ำเสียงอันกระทบกระทั่งกัน
-ลำพูรายพรายพร้อยหิ่งห้อยจับ
สว่างวับแวววามอร่ามเหลือง
เสมอเม็ดเพชรรัตน์จำรัสเรือง
ค่อยประเทืองทุกข์ทัศนาชม
พรรณนาโวหาร ให้เห็นภาพพจน์
-เห็นพฤกษาไม้มะค่ามะขามข่อย
ทั้งไทรย้อยยอดโยนโดนตะโขง
เหมือนไม้ดัดจัดวางข้างพระโรง
เป็นพุ่มโพรงสาขาน่าเสียดาย
-ศิลาแลเป็นชะแง่ชะงักงอน
บ้างพรุนพรอนแตกกาบเป็นคราบไคล
-ค่อยตะกายป่ายปีนเปะปะไป
จะขาดใจเสียด้วยเหนื่อยทั้งเมื่อยกาย
-ถึงพงค้อคอเขาเป็นโขดเขิน
ต้องขึ้นเนินภูเขาป่าระหง
ส่งกระทั่งหลังโคกเป็นโตรกตรง
เมื่อจะลงก็ต้องวิ่งเหมือนลิงโลน
แต่ข้ามห้วยเหวผาจนขาขัด
ต้องกำดัดวิ่งเต้นดังเล่นโขน
ทั้งรากยากขวางโกงตะโขงโคน
สะดุดโดนโดดข้ามไปตามทาง
อุปมาโวหาร
-โอ้ชะนีเวทนาเที่ยวหาผัว
เหมือนตัวพี่จากน้องให้หมองหมาง
ชะนีเพรียกเรียกชายอยู่ปลายยาง
พี่เรียกนางนุชน้องอยู่ในใจ
-จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง
เหมือนสำเนียงวนิดาน้ำตาไหล
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร
โอ้เจียนใจพี่จะขาดอนาถนึก
-โอ้ดูเดือนเหมือนดวงสุดาแม่
กระต่ายแลเหมือนฉันคิดพิสมัย
ฯลฯ
จุดเริ่มต้นของการเดินทางไปหาบิชาที่บ้านกร่ำอำเภอเมืองแกลงนั้นคงจะมาจากสุนทรภู่รับใช้เจ้านายพระองค์หนึ่งเข้าใจว่า
คือพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าฟ้า กรมหลวงอนุรักษ์ เทเวศร์
กรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดบางหว้าใหญ่ คือวัดระฆังโฆษิตารามปัจจุบัน
ทรงใช้ให้สุนทรภู่ไปทำธุระให้ที่เมืองบางปลาสร้อยคือจังหวัดชลบุรีปัจจุบัน
การเดินทางลำบากลำบนจนสุนทรภู่ออกปากว่า
โอ้ยามยากจากเมืองแล้วลืมมุ้ง
มากรำยุงเวทนาประดาหาย
จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย
แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา
มากรำยุงเวทนาประดาหาย
จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย
แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา
เมื่อถึงบางปลาสร้อยก็เข้าไปพบและพักที่บ้านขุนจ่าเมืองได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างดีและพักอยู่ 3 วัน เมื่อเสร็จภารกิจแล้วจึงออกเดินทาง
-มีมิตรชายท้ายย่านเป็นบ้านไทย
สำนักในเคหาขุนจ่าเมือง
-แต่แรมค้างบางปลาสร้อยได้สามวัน
ก็ชวนกันเลยลาคุณจ่าเมือง
ดังนั้นเมื่อได้เดินทางมาจนถึงชลบุรีแล้วระยะทางที่จะไประยองก็อีกครึ่งทาง
สุนทรภู่จึงกำหนดแผนการเดินทางไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะถือโอกาสนี้
ได้ไปหาบิดาที่สุนทรภู่ไม่เคยได้พบเลย จึงได้ตระเตรียมนายแสง
ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ระยองรู้จักเส้นทางดีเป็นคนนำทาง ตามที่กล่าวไว้ว่า
-กับนายแสงแจ้งทางกลางอารัญ
จะพากันแรมทางไปต่างเมือง
การเดินทางคงกะทันหันมาก ไม่มีเวลาเตรียมตัวแม้แต่จะลาคนรัก
จะพากันแรมทางไปต่างเมือง
การเดินทางคงกะทันหันมาก ไม่มีเวลาเตรียมตัวแม้แต่จะลาคนรัก
- จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา
ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
- พอเป็นค่าผ้าห่มที่ชมแทน
อย่าเคืองแค้นเลยที่ฉันไม่ทันลา
ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
- พอเป็นค่าผ้าห่มที่ชมแทน
อย่าเคืองแค้นเลยที่ฉันไม่ทันลา
สุนทรภู่เป็นตัวอย่างครอบครัวแตกแยกในสมัยก่อน
ซึ่งก็คงไม่ค่อยจะมีแบบนี้นัก เพราะครอบครัวไทยถือหลักความอดทน
อดออมถนอมน้ำใจชะรอยว่ามารดาของสุนทรภู่คงเป็นผู้หญิงมีตระกูล หยิ่งในตนเองพอที่จะไม่ใยดีคำพูดของคนรอบข้าง
จึงกล้าหาญที่จะเลิกร้างกับบิดาของสุนทรภู่ได้
มิหนำซ้ำเมื่อเลิกร้างแล้วชีวิตก็ไม่ตกต่ำ
มีเจ้านายอุปถัมภ์ค้ำจุนและยังได้แต่งงานไปมีบุตรสาว อีกสองคนด้วย
แต่สุนทรภู่ก็ไม่เคยเห็นบิดาของตัวเลย คงโหยหาบิดาอยู่ จึงเขียนกลอนไว้ในนิราศเมืองแกลงว่า
- ชะรอยกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราย
จึงแยกย้ายบิตุราชญาติกา
มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่
ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา
ชนนีอยู่ศรีอยุธยา
บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร
ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศ
ข้ามประเทศทุ่งท่าชลาไหล
เดินกันดารปานปิ้มจะบรรลัย
จึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว
จึงแยกย้ายบิตุราชญาติกา
มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่
ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา
ชนนีอยู่ศรีอยุธยา
บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร
ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศ
ข้ามประเทศทุ่งท่าชลาไหล
เดินกันดารปานปิ้มจะบรรลัย
จึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น